
Escape Route คืออะไร
เนื่องด้วยงานที่เกิดบริเวณนอกชายฝั่ง (Offshore operation) มีความเสี่ยงที่สูง และเพื่อให้แน่ใจว่าการอพยพ (Evacuation) ของผู้ปัฏบัติงานทั้งหมดออกจากพื้นที่อันตรายไปยังที่พักชั่วคราว (Temporary Refuge หรือ TR) หรือจุดรวมพล (Muster Area) และในที่สุดไปยังจุดอพยพที่ปลอดภัย เช่น สถานีเรือช่วยชีวิต (lifeboat station), แพช่วยชีวิต (life raft), หรือดาดฟ้าเฮลิคอปเตอร์ (Helicopter deck) เป็นไปอย่างปลอดภัย มีประสิทธิภาพ และทันเวลา ในกรณีฉุกเฉินเช่นไฟไหม้ การระเบิด การปล่อยก๊าซพิษ หรือความล้มเหลวของโครงสร้าง การออกแบบเส้นทางอพยพ (Escape Route) จึงมีความสำคัญมาก
โดยสรุปในการออกแบบเส้นทางอพยพ (Escape Route) ต้องออกแบบให้มีความปลอดภัย เส้นทางไม่โดนสิ่งกีดขวาง ไม่ว่าจุดไหนๆ ไปยังจุดต่อไปนี้
- จุดอพยบชั่วคราว (Temporary Refuge, TR)
- จุดรวมพล (Muster Station)
- จุดจอดเรือช่วยชีวิต (Lifeboat) หรือแพช่วยชีวิต (life raft)
- ดาดฟ้าเฮลิคอปเตอร์ (Helicopter deck)
ข้อจำกัดต่างๆที่เกี่ยวของกับการออกแบบเส้นทางอพยพ (Escape Route)
- พื้นที่ทำงาน หรือ platform ประกอบไปด้วยหลายระดับที่มีการการออกแบบ จัดวางที่ซับซ้อน เช่น ส่วนกระบวนการผลิต ส่วนที่พักอาศัย utlities zone และที่จอดเฮลิคอปเตอร์
- พื้นที่มีจำกัดและมักจะแออัดไปด้วยอุปกรณ์และท่อ
- สภาพแวดล้อมทางทะเลที่รุนแรง ลมแรง คลื่น การกัดกร่อน และความลำบากในการมองเห็น
- API RP 14J ได้อธิบายอันตรายต่างๆที่อาจจะการใช้งานเส้นทางอพยพไร้ประสิทธิภาพไว้ต่างๆดังนี้
- พื้นที่โดนขวางการใช้งาน
- แสงสว่างการใช้งานไม่เพียงพอ
- ตำแหน่งในการวางเรือช่วยชีวิตหรือแพช่วยชีวิตไม่เหมาะสม
- อุปกรณ์ติดตั้งไฟลามไม่เพียงพอ
- เครื่องมือส่งสัญญาณเตือนไม่เพียงพอ
- อุปกรณ์สื่อสารเสียหาย
- ผู้ปฏิบัติงานขาดการอบรมอย่างเพียงพอ
ตัวแปรต่างๆที่ต้องถูกนำมาพิจารณาในการออกแบบ
- เส้นทางการหลบหนีทั้งเส้นทางหลักและสำรอง และป้ายเตือน (Signage)
- เส้นทางการหลบหนีทั้งแนวดิ่งและแนวราบ
- พื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูงในการอพยพ (High-Risk)
- วิธีการป้องกันอันตรายจากไฟไหม้และระเบิด (Fire and Explosion)
- ขนาดและปริมาตรบรรจุ (Size and Capacity) เวลาในการหลบหนี (Escape Time)
- ปัจจัยที่เกี่ยวกับตัวบุลคลและกายศาสตร์ (Human Factor and Ergonomics)
ประเด็นต่างๆที่ต้องออกแบบ
เส้นทางการหลบหนีทั้งเส้นทางหลักและสำรอง
สำหรับแต่ละพื้นที่ทำงานหรือที่พักหลัก ต้องมีเส้นทางหลบหนีแยกอย่างน้อยสองเส้นทาง
- ควรแยกออกจากกัน เพื่อว่าถ้าเส้นทางหนึ่งถูกปิดกั้น (เช่น โดยไฟไหม้) อีกเส้นทางหนึ่งจะยังคงเข้าถึงได้
- เส้นทางหลบหนีจะต้องเป็นพื้นผิวกันลื่น ปราศจากสิ่งกีดขวาง สว่างตลอดเวลา พร้อมไฟฉุกเฉิน
- มีป้ายบอกทางออกไปยังจุดรวมพลอย่างชัดเจนด้วยป้ายเรืองแสง หรือป้ายที่มีแสงสว่างแสดงทิศทางไปยังทางออกและจุดรวมพล
ยกตัวอย่าง ห้องควบคุมบนดาดฟ้าการผลิต ต้องมีทางออกสองทางที่นำไปสู่บันไดหรือบันไดลิง (Stairwells or ladders) ที่เชื่อมต่อกับพื้นที่ TR หรือพื้นที่รวมพล
เส้นทางการหลบหนีทั้งในแนวดิ่งและแนวราบ
เส้นทางการหนีไฟต้องได้รับการออกแบบให้เข้าถึงได้อย่างรวดเร็ว แม้สำหรับบุคลากรที่สวมใส่อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคลหรืออุปกรณ์ช่วยหายใจ หรือในระหว่างที่ได้รับบาจเจ็บ
- การหลบหนีในแนวราบหมายถึงทางเดิน ทางเดินในอาคาร และประตูที่นำออกห่างจากอันตราย
- การหลบหนีในแนวดิ่งรวมถึงบันไดและบันไดลิง ที่ใช้ให้เข้าถึงดาดฟ้าด้านบน (upper deck) หรือชั้นล่าง (lower deck)
- บันไดที่ควรใช้เป็นทางหนีไฟในแนวตั้งควรเป็นบันไดตามปกติ (Stairways) อย่างไรก็ตาม บันไดแนวตั้งหรือบันไดลิง Ladder อาจใช้เป็นหนึ่งในทางหนีไฟเมื่อการติดตั้งบันไดแบบปกติไม่สามารถทำได้
ต้องมีการระบุพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูงในการอพยพ
พื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูงต่อการอพยพ เช่น
- ห้องเครื่องจักร Machinery Room
- ดาดฟ้าเฮลิคอปเตอร์ (Helicopter deck)
- ห้องครัว
ต้องมีการเข้าถึงเส้นทางหลบหนีที่ปลอดภัยอย่างสะดวกและต้องได้รับการปกป้อง พื้นที่เหล่านี้ไม่ควรออกแบบให้เป็น “ทางตัน” ที่อาจจะมีใครบางคนติดอยู่
วิธีการป้องกันอันตรายจากไฟไหม้และระเบิด (Fire and Explosion)
ตามหลักการเราควรออกแบบเส้นทางหลบหนีให้สามารถผ่านได้ในทุกๆสถานการณ์จากการวางตำแหน่ง แทนที่จะใช้อุปกรณ์ป้องกันอันตรายต่างๆ แต่ในความเป็นจริงเนื่องจากข้อกำหนดหลายๆอย่างที่กล่าวมาข้างต้น เราอาจจะจำเป็นต้องมาการนำเครื่องป้องกันอันตรายเข้ามาใช้
- ISO-13702 ได้พูดถึงการออกแบบผนังที่ยอมให้ระเบิด Explosion Vent Panel หรือ Sacrificial Wall เพื่อเป็นการระบายความดันให้ลดลง ไม่ส่งผลกระทบกับทางหลบหนี
ขนาดและปริมาตรบรรจุ (Size and Capacity) เวลาในการหลบหนี (Escape Time)
- ความกว้างต้องรองรับจำนวนคนสูงสุดที่คาดว่าจะใช้เส้นทางในกรณีฉุกเฉิน
- ต้องสามารถรับการหลบหนีพร้อมกันจากหลายพื้นที่หากจำเป็น
- ISO-13702 แนะนำให้เส้นทางหลบหนีควรมีความกว้างมากกว่า 1 เมตร สำหรับเส้นทางที่ไม่ได้ถูกใช้บ่อย และจะใช้โดยคนเพียงไม่กี่คนเท่านั้น แต่ถ้าเป็นเส้นทางหลบหนีที่จะถูกใช้หลบหนีจากหลายพื้นที่อาจต้องกว้างขึ้น และเส้นทางหลบหนีทั้งหมดควรมีความสูงที่เพียงพอ
- IMO MODU Code 2009 ได้แนะนำว่าทางเดินที่ไม่มีทางออก Dead-end corridor ไม่ควรยาวเกิน 7 เมตร
| Design Feature | Minimum Size Requirement | Note |
| ความกว้าง ของเส้นทางอพยพหลัก | ≥ 900 mm (0.9 m) | สำหรับเข้าหรือออก อย่างใดอย่างหนึ่ง |
| ความกว้าง ของเส้นทางอพยพหลัก | ≥ 1,200 mm (0.9 m) | สำหรับเข้าออกพร้อมกัน |
| ความกว้าง ของเส้นทางอพยพหลัก | ≥ 1,500 mm (0.9 m) | สำหรับในกรณ๊ที่มีผู้ปฏิบัติงานจำนวนมาก |
| ความสูง ของเส้นทางอพยพ (Headroom) | ≥ 2,000 mm (2 m) | เพื่อความแน่ใจในขณะสวมใส่ SCBA |
| ความสูงของประตูหนีไฟ | ≥ 2,000 mm (2 m) | ต้องสอดคล้องกับความสูง Headroom |
| ความกว้างของบันได | ≥ 750 mm (min) แต่แนะนำเป็น 900 mm | |
| ความสูงของราวบันได | 1,000 mm | ต้องมีทั้งสองทาง |
| ระยะห่างของที่พักบันได | ทุกๆ 3-4 เมตรในแนวดิ่ง |
ในระหว่างการออกแบบ เราสามารถใช้การศึกษา Escape, Evacuation, and Rescue Analysis (EERA) เพื่อจำลองความแออัด และเวลาในการหลบหนี (Escape Time)